Passive Income ประเภทดอกเบี้ย มีช่องทางไหนบ้าง และช่องทางไหนที่คุ้ม

A person looking at a clock Description automatically generated with medium confidence

การประหยัดเงินทำได้ง่ายกว่าการหารายได้เพิ่ม แต่ถ้าทำทั้งสองอย่างได้พร้อมกันย่อมดีที่สุด ถ้าอยากมีเงินเก็บมากขึ้น อยากมีรายได้หลายทาง และไม่อยากทำงานไปจนแก่ Passive Income คือคำตอบ! รายได้แบบนี้คือการที่ต้องลงแรงหรือลงทุนแค่ตอนเริ่มต้น หลังจากนั้นจะมีรายได้เข้ามาเองเลื่อยๆ ยิ่งมีรายได้แบบนี้มากเท่าไหร่ อิสรภาพทางการเงินก็จะยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้น

หากนึกถึง Passive Income อีกหนึ่งอย่างที่อาจจะนึกถึงเลยคือ “ดอกเบี้ย” ง่ายๆ เลยคือการฝากเงินไว้กับธนาคาร รายได้ประเภทนี้จะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ทราบล่วงหน้า ความเสี่ยงต่ำมากๆ ถ้าเทียบกับ Passive Income ประเภทอื่น และความง่ายต้องบอกเลยว่าง่ายกว่ามากๆ โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่ได้จากการลงทุน บทความนี้ไปดูกันว่า Passive Income ที่ได้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย มีช่องทางไหนบ้าง และช่องทางไหนที่คุ้มกว่ากัน

หลักการของดอกเบี้ยที่ให้ Passive Income

A graph showing a green line

Description automatically generated with medium confidence

การสร้าง Passive Income จากดอกเบี้ยเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงต่ำและสามารถให้ผลตอบแทนที่มั่นคงได้ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการสร้างรายได้จากดอกเบี้ย คือ จำนวนเงินลงทุน ระยะเวลาที่ให้เงินทำงาน และอัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย

ดอกเบี้ย (Interest) คือ ผลตอบแทนที่ได้เพิ่มขึ้นจากการออมหรือลงทุน ดอกเบี้ยมาจากหลายแหล่ง เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนในตราสารหนี้ หรือผลตอบแทนที่ผู้ปล่อยกู้ได้รับจากผู้ขอกู้

จำนวนเงินลงทุน และ ระยะเวลาที่ให้เงินทำงาน : ยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งสร้างผลตอบแทนได้มาก ยิ่งมีเวลาให้เงินทำงานมากก็ยิ่งมีระยะเวลาสร้างผลตอบแทนมากเช่นกัน

อัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย: อัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย มีเรื่องของความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง หากนำเงินไปลงทุนในที่ที่เสี่ยงมากก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย ขณะเดียวกันก็มีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนสูงด้วย

Example:

A screenshot of a graph

Description automatically generated

Source : https://moneysart.com/tools/compound-interest/

จากภาพข้างต้น ในปีแรก คุณจะได้รับดอกเบี้ย 1,000 บาท (จากเงินต้น 10,000 บาท และอัตราดอกเบี้ย 10%) ในปีที่สอง ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากยอดเงินรวม 11,000 บาท (เงินต้น 10,000 บาท + ดอกเบี้ยปีแรก 1,000 บาท) ไปเลื่อยๆ

ดอกเบี้ยทบต้นเป็นกระบวนการที่นำดอกเบี้ยที่ได้รับจากการออมเงินหรือลงทุนกลับมาลงทุนใหม่ ทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์คือการเติบโตแบบทวีคูณของเงินต้น ซึ่งเป็นการสร้าง Passive Income อย่างหนึ่งที่ไม่ต้องใช้แรงงานหรือเวลาเพิ่มเติมมากนักหลังจากการลงทุนครั้งแรก

ช่องทาง Passive Income ประเภทดอกเบี้ย

A diagram of a passive income

Description automatically generated

การสร้าง Passive Income ผ่านดอกเบี้ยนั้นมีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่มั่นคง นี่คือข้อดีและข้อเสียของแต่ละช่องทางต่าง ๆ ที่สามารถสร้าง Passive Income ประเภทดอกเบี้ยได้

บัญชีออมทรัพย์และบัญชีฝากประจำ

เมื่อฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยให้เป็นรายเดือนหรือรายปี ดอกเบี้ยที่ได้รับนี้เป็น Passive Income ดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกเพิ่มเข้าไปในยอดเงินฝาก ทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดอกเบี้ยในเดือนถัดไปก็จะคำนวณจากยอดเงินที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการทบต้น แต่บัญชีฝากประจำมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์

ข้อดี

  • ความเสี่ยงต่ำ: การฝากเงินในบัญชีธนาคารมีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากธนาคารเป็นสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงและมีการประกันเงินฝาก
  • สภาพคล่องสูง (สำหรับบัญชีออมทรัพย์): สามารถถอนเงินได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ทำให้การจัดการเงินสะดวก
  • ผลตอบแทนคงที่: อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนทำให้สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้

ข้อเสีย

  • ผลตอบแทนต่ำ: อัตราดอกเบี้ยของบัญชีออมทรัพย์และฝากประจำจะต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
  • ผลกระทบจากเงินเฟ้อ: ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าของเงินฝากลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond)

พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) คือตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมเงินทุนมาใช้จ่ายในกิจการต่าง ๆ ของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลมีอำนาจในการเรียกเก็บภาษีจากประชาชน พันธบัตรรัฐบาลจึงถือว่าไม่มีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้น (Default free) ผู้ซื้อตราสารมั่นใจได้ว่าจะได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืนตามเวลาที่กำหนด ซึ่งประเภทของ พันธบัตรรัฐบาล มีหลากหลาย ประเภทที่สามารถตอบโจทย์เรื่องของ passive income มีดังนี้

  • Treasury Bills (ตั๋วเงินคลัง): เป็นพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น อายุไม่เกิน 1 ปี
  • Fixed Rate Government Bonds (พันธบัตรรัฐบาลแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่): เป็นพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จนถึง 50 ปี จ่ายดอกเบี้ยคงที่
  • Saving Bonds (พันธบัตรออมทรัพย์): ออกเพื่อส่งเสริมการออมของประชาชนทั่วไป กำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด
  • Inflation-linked Bonds (พันธบัตรรัฐบาลชดเชยเงินเฟ้อ): เป็นพันธบัตรระยะยาว อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ปรับผลตอบแทนตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ
  • Floating Rate Bonds (พันธบัตรรัฐบาลอัตราดอกเบี้ยลอยตัว): เป็นพันธบัตรระยะยาว อายุมากกว่า 1 ปี อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด

ข้อดี

  • ความเสี่ยงต่ำ: พันธบัตรรัฐบาลมีความมั่นคงสูงและได้รับการรับรองจากรัฐบาล
  • ผลตอบแทนคงที่: อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สามารถรู้ผลตอบแทนได้อย่างแน่นอน

ข้อเสีย

  • ผลตอบแทนปานกลาง: อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลมักจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในตราสารหนี้ของภาคเอกชน
  • การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย: ถ้าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเพิ่มขึ้น จะทำให้มูลค่าของตราสารหนี้ลดลง ทำให้พันธบัตรที่คุณถืออยู่มีมูลค่าต่ำกว่าพันธบัตรชุดใหม่ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า
  • ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost): เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น จะเสียโอกาสที่จะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น พันธบัตรชุดใหม่ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า 3% ที่ถืออยู่

ตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bonds) หรือ หุ้นกู้

ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนต่าง ๆ เพื่อระดมทุนในการขยายกิจการ ซึ่งจะมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่าการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ โดยตราสารหนี้เอกชนจะมีการกำหนดระยะเวลาการออก เช่น 3 ปี, 5 ปี, 7 ปี, 10 ปี, 20 ปี หรือในบางกรณีอาจไม่มีการกำหนดระยะเวลา หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนโดยดอเบี้ยมีดังนี้

ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)

  • เป็นการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่คงที่ตลอดช่วงอายุตราสาร
  • เช่น จ่ายปีละครั้ง, จ่ายทุก 6 เดือน หรือจ่ายทุก 3 เดือน ตามที่ผู้ออกกำหนด

ดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Note/FRN)

  • เป็นการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่เปลี่ยนแปลงไปตามอัตราอ้างอิง
  • เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก BIBOR 3 เดือน หรืออัตราเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bond)
  • ตราสารหนี้ตัวนี้จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะหากคาดว่าในอนาคตอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น

การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)

  • ใช้ในการประเมินความเสี่ยงของการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน
  • เช่น Investment Grade AAA, AA, A, BBB หรือ Non-Investment Gradeที่มีความเสี่ยงสูง BB, B, CCC, CC, C

ข้อดี

  • ผลตอบแทนสูงกว่า:ตราสารหนี้ภาคเอกชนให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่า
  • ความหลากหลายของตราสาร:มีหลายประเภทและหลายรูปแบบและจากหลายบริษัททำให้สามารถเลือกลงทุนตามความต้องการได้
  • ความยืดหยุ่นในการกำหนดเงื่อนไข:บริษัทผู้ออกตราสารสามารถกำหนดเงื่อนไขและรูปแบบของตราสารได้หลากหลาย ทำให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น

ข้อเสีย

  • ความเสี่ยงสูงกว่า:การลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนมีความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกตราสารอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ หรืออาจล้มละลาย ทำให้นักลงทุนอาจสูญเสียเงินต้นและดอกเบี้ย
  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง:การขายตราสารหนี้ภาคเอกชนก่อนวันครบกำหนดอาจทำได้ยาก และอาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ทำให้ขาดทุน
  • ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย:ตราสารหนี้ในกรณีที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด ทำให้นักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้แน่นอน
  • ความเสี่ยงจากการขาดข้อมูล:การลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนอาจต้องพึ่งพาข้อมูลทางการเงินของบริษัท ซึ่งบางครั้งอาจไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง ทำให้การตัดสินใจลงทุนยากขึ้น

กองทุนรวมตราสารหนี้

กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Mutual Fund) คือ กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน เงินฝาก และหุ้นกู้ภาคเอกชน กองทุนเหล่านี้รวบรวมเงินจากนักลงทุนหลายๆ คนมาลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆ ตามนโยบายที่กองทุนกำหนด เพื่อกระจายความเสี่ยง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะสั้น-ยาว และผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก

ข้อดี

  • ใช้เงินลงทุนน้อย:สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินไม่มากได้ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้
  • มีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมืออาชีพบริหารจัดการให้:กองทุนมีผู้จัดการมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกและบริหารจัดการตราสารหนี้ ช่วยให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ซื้อขายได้ทุกวันทำการ:นักลงทุนสามารถซื้อขายกองทุนรวมได้ทุกวันทำการ และรับเงินได้ในวันทำการถัดไป สำหรับกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short Term Fixed Income Fund)
  • การกระจายการลงทุน:กองทุนรวมตราสารหนี้ลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภท ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารเดียว
  • สามารถเพิ่มทางเลือกในการลงทุนไปยังตราสารหนี้ต่างประเทศ:บางกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่หลากหลาย

ข้อเสีย

  • ผลตอบแทนอาจไม่สูงมาก:แม้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้จะค่อนข้างแน่นอน แต่ก็มักจะไม่สูงเท่ากับการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
  • ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk):หากผู้ออกตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนไม่สามารถชำระหนี้ได้ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนบางส่วนหรือทั้งหมด
  • ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk):การขายตราสารหนี้ในตลาดรองอาจทำได้ยากและอาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
  • ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร (Business Risk):หากบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ประสบปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินงาน อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้และอัตราผลตอบแทนของกองทุน

การซื้อสลากออมทรัพย์

การซื้อสลากออมทรัพย์เป็นวิธีหนึ่งในการสร้าง Passive Income ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีเงินก้อนและสามารถเก็บเงินไว้ได้อย่างน้อย 3 ปี โดยสลากออมทรัพย์นอกจากจะได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนดแล้วยังมีโอกาสถูกรางวัลเช่นกัน

ข้อดี

  • ได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนด:ผู้ถือสลากออมทรัพย์จะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  • โอกาสถูกรางวัล:ผู้ถือสลากมีโอกาสถูกรางวัลในทุกงวดที่มีการออกรางวัล ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มเติมจากดอกเบี้ย
  • ความเสี่ยงต่ำ:การลงทุนในสลากออมทรัพย์มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์การเงินที่มีการรับประกันจากธนาคารหรือหน่วยงานที่ออกสลาก

ข้อเสีย

  • ต้องถือครองนาน:ผู้ถือสลากต้องเก็บสลากไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น 3 ปี หรือมากกว่านั้น หากไถ่ถอนก่อนกำหนดอาจไม่ได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้
  • ผลตอบแทนอาจไม่สูง:แม้จะมีโอกาสถูกรางวัล แต่ผลตอบแทนรวมจากดอกเบี้ยและรางวัลอาจไม่สูงเท่ากับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
  • ต้องใช้เงินก้อนใหญ่หากต้องการโอกาสถูกรางวัลสูง:หากต้องการถูกรางวัลทุกงวด อาจต้องซื้อสลากในจำนวนมาก

ช่องทางPassive income จากอัตราดอกเบี้ย ช่องทางไหนที่คุ้มที่สุด

ช่องทาง ข้อดี ข้อเสีย ความคุ้มค่า
บัญชีออมทรัพย์และบัญชีฝากประจำ
  • ความเสี่ยงต่ำ
  • สภาพคล่องสูง (บัญชีออมทรัพย์)
  • ผลตอบแทนคงที่
  • ผลตอบแทนต่ำ
  • ผลกระทบจากเงินเฟ้อ
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเสี่ยงต่ำและต้องการสภาพคล่องสูง แต่ผลตอบแทนต่ำแทบจะสู้เงินเฝ้อไม่ได้
พันธบัตรรัฐบาล
  • ความเสี่ยงต่ำ
  • ผลตอบแทนคงที่
  • ผลตอบแทนปานกลาง
  • การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
  • ต้นทุนค่าเสียโอกาส
คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนคงที่ แต่ต้องยอมรับสภาพคล่องต่ำและผลตอบแทนปานกลาง
ตราสารหนี้ภาคเอกชน
  • ผลตอบแทนสูงกว่า
  • ความหลากหลายของตราสาร
  • ความยืดหยุ่นในการกำหนดเงื่อนไข
  • ความเสี่ยงสูงกว่า
  • ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย
  • ความเสี่ยงจากการขาดข้อมูล
คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงสูงและต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า มีความยืดหยุ่นในการเลือกตราสาร
กองทุนรวมตราสารหนี้
  • ใช้เงินลงทุนน้อย
  • มีผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการ
  • การกระจายการลงทุน
  • ผลตอบแทนอาจไม่สูงมาก
  • ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้
  • ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร
เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนน้อยและต้องการการบริหารจัดการจากผู้เชี่ยวชาญ มีการกระจายความเสี่ยงดี แต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงมาก
การซื้อสลากออมทรัพย์
  • ได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนด
  • โอกาสถูกรางวัล
  • ความเสี่ยงต่ำ
  • ต้องถือครองนาน
  • ผลตอบแทนอาจไม่สูง
  • ต้องใช้เงินก้อนใหญ่หากต้องการโอกาสถูกรางวัลสูง
คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีเงินก้อนและสามารถถือครองระยะยาว มีโอกาสถูกรางวัลเพิ่มเติม แต่ผลตอบแทนอาจไม่สูงเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆ

การเลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้าง Passive Income ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ความสามารถในการรับความเสี่ยง และความต้องการของแต่ละบุคคล ดังนี้

A screenshot of a computer

Description automatically generated

ความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนคงที่: ถ้าคุณต้องการความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนที่มั่นคง พันธบัตรรัฐบาลและสลากออมทรัพย์เป็นตัวเลือกที่ดี

ผลตอบแทนสูงกว่า หากคุณยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นและต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่า ตราสารหนี้ภาคเอกชนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

การลงทุนระยะสั้นและมีความยืดหยุ่น: กองทุนรวมตราสารหนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินลงทุนน้อยและมีความยืดหยุ่นในการซื้อขาย

การลงทุนที่มั่นคงและปลอดภัย: บัญชีออมทรัพย์และฝากประจำเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและสภาพคล่องสูง

สรุป

  • Passive Income ความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนคงที่ จากการลงทุนในบัญชีออมทรัพย์, บัญชีฝากประจำ และพันธบัตรรัฐบาลมีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและไม่ต้องการรับความเสี่ยงมาก
  • บัญชีออมทรัพย์ หากต้องการดอกเบี้ยสูง ควรเลือกโปรแกรมพิเศษที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีทั่วไป
  • พันธบัตรรัฐบาล มีหลายประเภท เช่น ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรออมทรัพย์, พันธบัตรรัฐบาลแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่, และพันธบัตรรัฐบาลอัตราดอกเบี้ยลอยตัว มีความมั่นคงสูงและมีการรับประกันจากรัฐบาล แต่มีสภาพคล่องต่ำ
  • ตราสารหนี้ภาคเอกชน ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น ตั๋วแลกเงิน, หุ้นกู้, และตั๋วสัญญาใช้เงิน ต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกตราสารและความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
  • การซื้อสลากออมทรัพย์ ได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนดและมีโอกาสถูกรางวัล เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินก้อนและสามารถเก็บเงินไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ผลตอบแทนอาจไม่สูงและต้องใช้เงินก้อนใหญ่หากต้องการโอกาสถูกรางวัลสูง

Reference