ในยุคปัจจุบัน หลายคนมองหาช่องทางสร้าง Passive Income หรือ การที่ให้ “เงินทำงานให้เรา” จาก การลงทุนในสินทรัพย์จนสามารถสร้างผลตอบแทนกลับมาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรายได้แบบนี้มาจาก การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่นอสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก หุ้น และอีกหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและมีความเสี่ยงต่ำคือการลงทุนในกองทุนรวม รวมถึงการลงทุนใน ETF (Exchange Traded Fund)
การลงทุนในกองทุนรวมและ ETF เป็นทางเลือกลงทุนที่มีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นเดี่ยว การกระจายความเสี่ยงที่ดี และความสะดวกสบายในการลงทุนที่สามารถทำได้แม้ในงบประมาณที่ไม่สูงมาก บทความนี้จะนำเสนอวิธีการสร้าง Passive Income จากการลงทุนในกองทุนรวมและ กองทุนETF พร้อมทั้งอธิบายข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี เพื่อเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุน และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้
กองทุนรวม หรือ ETF คืออะไร
การลงทุนในรูปแบบนี้เป็นแนวคิดการลงทุนโดยนำเงินทุนมารวมกันเพื่อการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ภายใต้การจัดการของมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญนั้นคือ “ผู้จัดการกองทุน” ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย โดยไม่ต้องจัดการลงทุนด้วยตัวเองทั้งหมด
กองทุนรวม Mutual fund เปรียบเสมือนการระดมทุนจากนักลงทุนหลายคนมารวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทำหน้าที่บริหารเงินทุนนี้ ซึ่งในประเทศไทยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่ง เช่น KTAM จากธนาคารกรุงไทย, SCBAM จากธนาคารไทยพาณิชย์, KKPAM จากเคเคพี แคปปิตอล และอีกมากมายที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
บลจ. จะนำเงินทุนที่รวบรวมได้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้ ผู้จัดการกองทุนซึ่งมีความเชี่ยวชาญจะเป็นผู้รับผิดชอบในการนำเงินที่ได้รับจากนักลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น, ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ตามนโยบายที่ระบุไว้ ทั้งนี้เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน
ขั้นตอนและกระบวนการลงทุนของกองทุนรวมมีดังนี้
- นักลงทุน จะนำเงินมาลงทุนในกองทุนรวม โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทางในการเลือกสินทรัพย์เอง
- บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) รับหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนที่ได้รับจากนักลงทุน
- ผู้จัดการกองทุน จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายที่กำหนดไว้
- สินทรัพย์ที่ลงทุน ได้แก่ หุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์ และอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุน
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำกับดูแลการดำเนินงานของ บลจ. เพื่อให้มั่นใจว่ามีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและเป็นธรรม
กองทุนรวมจะมีการซื้อขายในราคาที่เรียกว่า NAV (Net Asset Value) หรือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ มาจากมูลค่าของทรัพย์สินทั้งหมดในกองทุนรวมรวมถึงผลตอบแทนสะสมและเงินสด หักลบด้วยค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม ซึ่งแสดงถึงมูลค่าที่แท้จริงของกองทุนรวมในแต่ละวัน แม้ว่าNAV ไม่ได้สะท้อนถึงความถูกหรือแพงของกองทุนรวม แต่เป็นการสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของกองทุนรวมในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมต่างๆ ได้
กองทุนรวมที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Exchange-Traded Fund หรือ ETF) เป็นการลงทุนที่รวมลักษณะของกองทุนรวมและการซื้อขายหุ้นไว้ด้วยกัน โดยมีจุดเด่นคือสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการ เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น ซึ่งETF เป็นการระดมทุนจากนักลงทุนหลายรายเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น, พันธบัตร, หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมีเป้าหมายในการเลียนแบบดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือดัชนีเฉพาะทาง ทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่หลากหลายได้โดยการซื้อ ETF หนึ่งตัว
ETF (Exchange Traded Fund) และ กองทุนรวม เป็นการลงทุนที่มีจุดประสงค์คล้ายกันในการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ ETF เป็น Hybrid Securities ซึ่งเป็นการผสมระหว่างลักษณะของ กองทุนรวม และ หุ้น ETF ทำหน้าที่เหมือนกองทุนรวมในแง่ของการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทและการกระจายความเสี่ยง แต่ ETF ยังสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นบนตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาตลาดเปิด
ข้อแตกต่างของ 2 ประเภทนี้ กองทุนรวมและ ETFแต่มีความแตกต่างที่สำคัญทั้งในด้านโครงสร้าง, วิธีการซื้อขาย, และการจัดการ
กองทุนรวม (Mutual Funds) | ETF (Exchange-Traded Funds) |
---|---|
สามารถถือสินทรัพย์ที่หลากหลายได้: กองทุนรวมสามารถลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งทำให้การลงทุนมีความหลากหลายและกระจายความเสี่ยง | สามารถถือสินทรัพย์ที่หลากหลายได้: เช่นเดียวกับกองทุนรวม, ETF สามารถลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง |
ซื้อขายผ่านผู้ให้บริการกองทุนเท่านั้น: การซื้อขายหุ้นของกองทุนรวมจะต้องทำผ่านผู้ให้บริการกองทุน ไม่สามารถซื้อขายโดยตรงกับนักลงทุนรายอื่นได้ | สามารถซื้อขายหุ้นระหว่างนักลงทุนได้: หุ้นของ ETF สามารถซื้อขายได้ในตลาดหุ้นระหว่างนักลงทุน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้ให้บริการกองทุน |
การทำรายการซื้อขายจะเสร็จสมบูรณ์หลังตลาดปิด: การซื้อขายกองทุนรวมจะใช้ราคาที่คำนวณจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) หลังจากที่ตลาดปิดเท่านั้น | การทำรายการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเวลาทำการตลาด: หุ้นของ ETF สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ และการทำรายการจะเสร็จสมบูรณ์ในทันที |
การลงทุนขั้นต่ำมักเป็นจำนวนเงินที่แน่นอน: การลงทุนในกองทุนรวมมักมีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ ซึ่งมักจะเป็นจำนวนเงินที่กำหนด เช่น 1,000 บาท หรือ 10,000 บาท เป็นต้น | การลงทุนขั้นต่ำมักเท่ากับราคาของหุ้นหนึ่งหุ้น: การลงทุนใน ETF มักไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ เพียงแค่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อหุ้นหนึ่งหุ้นของ ETF ก็สามารถลงทุนได้ |
สามารถมีการจัดการแบบเชิงรุกหรือเชิงรับ: กองทุนรวมอาจถูกจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่ทำการตัดสินใจลงทุนแบบเชิงรุก (Active Management) หรืออาจเป็นกองทุนที่จัดการแบบเชิงรับ (Passive Management) เช่น การติดตามดัชนี | จัดการแบบเชิงรับ: ETF ส่วนใหญ่มักถูกจัดการแบบเชิงรับ โดยการติดตามดัชนีหรือสินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม โดยไม่เน้นการตัดสินใจลงทุนแบบเชิงรุก |
ตัวอย่างการลงทุนใน ETF และ กองทุนรวม
- ETF: ลงทุนใน SET50 ETF
- สามารถซื้อหน่วยลงทุนของ SET50 ETF ซึ่งเป็นกองทุนที่เลียนแบบดัชนี SET50 ได้ หน่วยลงทุนของ SET50 ETF
- สามารถซื้อขายได้ทันทีในตลาดหลักทรัพย์โดยมีราคาซื้อขายแบบ Real-time เหมือนหุ้นทั่วไป
- การทำผลตอบแทนจะได้จากราคาของ SET50 ETF เพิ่มขึ้น ก็สามารถขายหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรได้
- สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ
- การลงทุนใน SET50 ETF ทำให้ได้ถือหุ้น 50 ตัวที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50 ทำให้ได้รับการกระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ
- กองทุนรวม: ลงทุนในกองทุนรวมตลาดหุ้นไทย (Active Fund)
- การลงทุนในกองทุนรวม โดยเลือกซื้อกองทุนรวมตลาดหุ้นไทยที่บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในหุ้นหลายตัวตามที่ผู้จัดการกองทุนเลือกโดยเฉพาะ
- ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญจะเลือกหุ้นและบริหารพอร์ตการลงทุนให้คุณ
- การซื้อขายจะทำได้ผ่าน บลจ.
- ผลการดำเนินงานของกองทุน หากกองทุนทำผลตอบแทนได้ดี มูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น
กลยุทธและวิธีลงทุนใน กองทุนรวม หรือ ETF
ดูระดับความเสี่ยง
Source: https://www.setinvestnow.com/th/mutualfund/types-of-mutual-funds
การเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวนักลงทุนเอง ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวมจะแสดงเป็นแถบสีที่บอกตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 8 โดยความเสี่ยงของกองทุนรวมจะขึ้นอยู่กับประเภทของทรัพย์สินที่กองทุนรวมนั้นๆ ลงทุนเป็นหลัก
ดูนโยบายและกลยุทธ์การลงทุน
กองทุนรวมแต่ละกองจะมีนโยบายการลงทุนที่เกี่ยวกับประเภทของสินทรัพย์ที่จะลงทุน เช่น กองทุนรวมตราสารทุนอาจระบุว่าจะลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเติบโต หรือเน้นอุตสาหกรรมเฉพาะ และมีการลงทุนในต่างประเทศหรือไม่ นโยบายเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่ากองทุนรวมมีความตั้งใจจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด และมีการกระจายความเสี่ยงอย่างไร เป็นการบริหารแบบ Active ผู้จัดการกองทุนพยายามสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าตลาด หรือ Passive พยายามเลียนแบบผลตอบแทนตามดัชนี
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
กองทุนรวมบางกองทุนอาจมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในขณะที่บางกองทุนไม่จ่าย ซึ่งควรพิจารณาว่าคุณต้องการผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลหรือการเติบโตของมูลค่าหน่วยลงทุน
ผลการดำเนินงานและดัชนีชี้วัดย้อนหลัง
ก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมต้องพิจารณาจากผลการดำเนินการ เพราะจะช่วยให้นักลงทุนประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนในอดีต อาจจะเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) หรือกองทุนรวมประเภทเดียวกัน (Peer) ซึ่งสามารถดูว่าในสภาวะตลาดต่างๆ กองทุนรวมนั้นทำผลงานได้ดีหรือแย่กว่า Benchmark และ Peer หรือไม่ ตัวอย่างดัชนีชี้วัด เช่น ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ดัชนี SET TRI (ดัชนีผลตอบแทนรวม)
ค่าธรรมเนียมกองทุน
ควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกับกองทุนรวมที่มีนโยบายและกลยุทธ์การลงทุนใกล้เคียงกัน เช่น หากกองทุน S และ B มีนโยบายการลงทุนและเป็น Active Fund เช่นกัน แต่กองทุน S มีค่าธรรมเนียมสูงกว่า
สัดส่วนทรัพย์สินที่ลงทุนและทรัพย์สินที่กองทุนลงทุน
เพื่อพิจารณาว่ากองทุนรวมนั้นลงทุนในทรัพย์สินประเภทใด และมีการลงทุนในทรัพย์สินหลักใดบ้าง เช่น กองทุนรวมตราสารทุน จะแสดงรายชื่อหุ้นที่ถือครอง ทำให้คุณเห็นได้ว่ากองทุนรวมนั้นลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมใดเป็นพิเศษหรือไม่
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวมหรือ ETF
ข้อดี
- การกระจายความเสี่ยง (Diversification) การลงทุนในกองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงเพราะกองทุนรวมจะนำเงินลงทุนไปกระจายลงทุนในทรัพย์สินหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, พันธบัตร, หรือทรัพย์สินทางเลือกอื่นๆ ทำให้ความเสี่ยงลดลงเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว
- การบริหารจัดการโดยมืออาชีพ (Professional Management) กองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และจัดการการลงทุน ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ต้องติดตามและจัดการการลงทุนด้วยตัวเอง
- สภาพคล่องสูง (High Liquidity) กองทุนรวมส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนเงินลงทุนเป็นเงินสดได้ง่ายและรวดเร็ว
- ความสะดวกและง่ายต่อการลงทุน (Convenience) การลงทุนในกองทุนรวมไม่ต้องการความรู้และทักษะการลงทุนมากนัก เนื่องจากการบริหารจัดการการลงทุนทำโดยผู้จัดการกองทุน คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ง่ายด้วยจำนวนเงินที่ไม่สูงมาก
ข้อเสีย
- ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย (Fees and Expenses) กองทุนรวมมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ, ค่าธรรมเนียมการซื้อ/ขาย, และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ
- ความเสี่ยงของตลาด (Market Risk) กองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดพันธบัตรยังคงมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย, หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ
- ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการ (Management Risk) ผลตอบแทนของกองทุนรวมอาจได้รับผลกระทบจากความสามารถและการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน ถ้าผู้จัดการกองทุนไม่สามารถบริหารจัดการได้ดี ผลตอบแทนก็อาจจะต่ำกว่าที่คาดหวัง
- การขาดการควบคุมโดยผู้ลงทุน (Lack of Control) การลงทุนในกองทุนรวมทำให้คุณไม่มีการควบคุมตรงต่อการลงทุนและการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับมุมมองและเป้าหมายการลงทุนของคุณเสมอไป
สรุป
- การลงทุนโดยได้ผลตอบแทนแบบ passive income เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและมีความเสี่ยงต่ำ คือการลงทุนในกองทุนรวม และETF
- กองทุนรวม เปรียบเสมือนการรวมเงินจากนักลงทุนหลายคน โดยมี บลจ. ทำหน้าที่บริหารเงินทุน ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต.
- ETF มีลักษณะของทั้งกองทุนรวมและหุ้น สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาเหมือนหุ้น มีเป้าหมายเลียนแบบดัชนีตลาดหรือดัชนีเฉพาะ ช่วยให้นักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายผ่าน ETF เพียงตัวเดียว
- การเลือกกองทุนรวมหรือ ETF ที่เหมาะสมต้องพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ต้องการรับรู้ โดยระดับความเสี่ยงของกองทุนรวมจะแสดงด้วยแถบสีตามระดับตั้งแต่ 1 ถึง 8 ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุนเอง
- การบริหารจัดการโดยมืออาชีพในกองทุนรวมช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ต้องดูแลและจัดการการลงทุนเอง แต่ก็อาจมีข้อเสียคือการขาดควบคุมที่ถูกต้องต่อการตัดสินใจการลงทุนของตนเอง
Reference
https://www.smarttoinvest.com/PublishingImages/Pages/E-book_mutual_fund_for_all.pdf
https://www.setinvestnow.com/th/mutualfund/types-of-mutual-funds
https://www.investopedia.com/articles/exchangetradedfunds/08/etf-mutual-fund-difference.asp
https://www.forbes.com/advisor/investing/how-to-invest-in-mutual-funds/
https://groww.in/blog/how-to-invest-in-mutual-funds
https://www.krungsri.com/th/personal/mutual-fund/knowledge/knowledge-home/what-is-mutual-funds
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/grow-your-wealth/exchange-traded-fund.html
https://www.setinvestnow.com/th/etf/etf-vs-stock-vs-index-fund