หุ้น vs กองทุนรวม อันไหนมี Passive Income ดีกว่า

การลงทุนในหุ้นและกองทุนรวม

การสร้างรายได้เพิ่มในรูปแบบของรายได้สม่ำเสมอหรือรายได้ผ่านการลงทุนกําลังเป็นที่นิยมอย่างมากขึ้น เนื่องจากผู้คนหันมาสนใจในตลาดหุ้นและกองทุนรวมเพื่อสร้างรายได้ที่คงเส้นคงวา การลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมไม่ใช่เพียงแต่เป็นวิธีการสร้างรายได้เพิ่ม แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนมักสงสัยคือ หุ้นหรือกองทุนรวมใดที่สามารถให้ผลตอบแทนในรูปของรายได้สม่ำเสมอได้ดีกว่ากัน ในขณะที่หุ้นมีศักยภาพสูงในการให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลและการเพิ่มมูลค่า แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่า ส่วนกองทุนรวมมักจะมีการกระจายความเสี่ยงและการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจทําให้เกิดความเสถียรมากกว่า

บทความนี้จะศึกษาถึงความแตกต่างระหว่างหุ้นและกองทุนรวมในแง่ของศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก รวมถึงปัจจัยที่นักลงทุนควรคํานึงในการตัดสินใจเพื่อเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้

หุ้นและกองทุนรวมคืออะไร ?

หุ้น

หุ้น (หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ส่วนแบ่ง หรือ ส่วนของผู้ถือหุ้น) แสดงถึงความเป็นเจ้าของในบริษัท เมื่อซื้อหุ้น จะซื้อส่วนหนึ่งของบริษัท ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้น ในฐานะผู้ถือหุ้น จะเป็นเจ้าของเศษส่วนของบริษัท ซึ่งเป็นสัดส่วนตามหุ้นที่ถืออยู่

ตลาดหุ้น

การซื้อขายหุ้นในประเทศไทยสามารถทำได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายหุ้นและรับประกันราคาที่ยุติธรรมและโปร่งใส นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย

การกำหนดราคาหุ้น

ราคาหุ้นถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาด ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้น ได้แก่

  • ผลการดำเนินงานของบริษัท: การเงินของบริษัท ผลกำไร และแนวโน้มการเติบโต
  • ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ: อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • ความรู้สึกของตลาด: การรับรู้และอารมณ์ของนักลงทุน
  • แนวโน้มอุตสาหกรรม: ผลการดำเนินงานและแนวโน้มของอุตสาหกรรม
  • เหตุการณ์ระดับโลก: เหตุการณ์ทางการเมือง ภัยธรรมชาติ และเหตุการณ์อื่นๆ

เงินปันผล

บริษัทบางแห่งจ่ายเงินปันผล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่แจกจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น เงินปันผลเป็นแหล่งรายได้สำหรับนักลงทุนและมักจะจ่ายเป็นรายไตรมาส ไม่ใช่บริษัททุกแห่งที่จ่ายเงินปันผล บางแห่งอาจนำกำไรกลับไปลงทุนใหม่ในบริษัทเพื่อการเติบโต

กลยุทธ์การลงทุน

  • การลงทุนระยะยาว: การซื้อและถือหุ้นในระยะเวลานานเพื่อรับประโยชน์จากการเติบโตในระยะยาว
  • การซื้อขายรายวัน: การซื้อและขายหุ้นภายในวันเดียวกันเพื่อใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
  • การลงทุนในเงินปันผล: เน้นไปที่หุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอเพื่อสร้างรายได้
  • การลงทุนแบบเน้นมูลค่า: การค้นหาหุ้นที่ตลาดประเมินค่าต่ำกว่ามูลค่าจริงแต่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง
  • การลงทุนเพื่อการเติบโต: การลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้ว่าราคาหุ้นในปัจจุบันจะสูงก็ตาม

กองทุนรวม

กองทุนรวมเป็นการลงทุนที่รวมเงินของนักลงทุนหลายๆ คนเข้าไว้ด้วยกันเพื่อซื้อหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่หลากหลาย โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการ การลงทุนในกองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงและสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่นักลงทุนบางคนอาจไม่สามารถลงทุนได้ด้วยตนเอง

ประเภทของกองทุนรวม

1. กองทุนรวม RMF (Retirement Mutual Fund)

  • ลักษณะ: กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ส่งเสริมการออมเงินในระยะยาวสำหรับการเกษียณอายุ
  • สิทธิลดหย่อนภาษี: ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
  • การลงทุน: ลงทุนในตราสารหนี้ หุ้นทั้งในและต่างประเทศ และทรัพย์สินทางเลือกอื่นๆ
  • เงื่อนไข: ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี นับจากวันที่ซื้อครั้งแรก และต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีหรือปีเว้นปี สามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์

2. กองทุนรวม SSF (Super Saving Funds)

  • ลักษณะ: กองทุนเพื่อการออมระยะยาวที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี
  • สิทธิลดหย่อนภาษี: ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
  • การลงทุน: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น ตลาดเงิน กองทุนดัชนี ตราสารหนี้
  • เงื่อนไข: ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ และไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี สามารถไถ่ถอนได้เมื่อครบกำหนดถือครอง

3. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund)

  • ลักษณะ: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ
  • การลงทุน: ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ของภาคเอกชน
  • ผลตอบแทน: ได้รับจากดอกเบี้ยเป็นหลัก

4. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)

  • ลักษณะ: การลงทุนระยะสั้น เหมาะสำหรับเป็นที่พักเงินชั่วคราว
  • การลงทุน: เน้นลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้คุณภาพดีที่มีอายุคงเหลือต่ำกว่า 1 ปี
  • ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่ผลตอบแทนน้อยที่สุด

5. กองทุนรวมที่ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Investment)

  • ลักษณะ: การลงทุนในทรัพย์สินเช่น อสังหาริมทรัพย์ น้ำมันดิบ ทองคำ
  • ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากทรัพย์สินที่ลงทุนอาจมีความผันผวนของราคา
  • จำเป็นต้องมีความรู้: ควรมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

การเลือกกองทุนรวม

  • ประเภทของกองทุน: เลือกประเภทที่ตรงกับเป้าหมายการลงทุน
  • ค่าธรรมเนียม: ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและค่าธรรมเนียมอื่นๆ
  • ผลตอบแทนในอดีต: ผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงเวลาที่ผ่านมา
  • นโยบายการลงทุน: นโยบายและกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน

ข้อดีและข้อเสียของหุ้นและกองทุนรวมในการสร้าง Passive Income

หุ้น

ข้อดี

  1. ผลตอบแทนสูง
    • การเพิ่มค่าของหุ้นหุ้นบางตัวมีศักยภาพในการเพิ่มค่าของหุ้นอย่างมาก ทำให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นในระยะยาว
    • การจ่ายเงินปันผลสูง บางบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง ทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอและสูงขึ้น
  2. ควบคุมการลงทุนได้เต็มที่
    • การเลือกหุ้น นักลงทุนสามารถเลือกหุ้นที่ต้องการลงทุนได้ตามความสนใจและเป้าหมายการลงทุนของตนเอง
    • การตัดสินใจลงทุน นักลงทุนมีอิสระในการตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามวิเคราะห์และข้อมูลที่ตนเองมี
  3. การปรับพอร์ตโฟลิโอได้ตามต้องการ
    • การตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาด นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอได้ตามสถานการณ์ตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจ
    • การปรับกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนสามารถเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ทันทีที่ต้องการ
  4. ได้รับเงินปันผลตรงจากบริษัท
    • รายได้จากเงินปันผล นักลงทุนจะได้รับเงินปันผลโดยตรงจากบริษัทที่ลงทุน ทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันทีที่มีการจ่ายเงินปันผล
    • การใช้เงินปันผลลงทุนต่อ นักลงทุนสามารถนำเงินปันผลไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว

ข้อเสีย

  1. ความเสี่ยงสูง
    • ความผันผวนของราคาหุ้น ราคาหุ้นมีความผันผวนสูง ทำให้มูลค่าการลงทุนอาจลดลงได้มากในระยะสั้น
    • ความเสี่ยงของบริษัท หากบริษัทที่ลงทุนประสบปัญหาทางการเงิน ราคาหุ้นและเงินปันผลอาจลดลงหรือหายไป
  2. ต้องการความรู้และเวลา
    • การวิเคราะห์ตลาด การลงทุนในหุ้นต้องการการศึกษาและการติดตามข่าวสารตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ
    • การตัดสินใจลงทุน นักลงทุนต้องมีความรู้และความเข้าใจในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น
  3. ต้นทุนการซื้อขาย
    • ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย การซื้อขายหุ้นมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจลดผลตอบแทนที่ได้รับ
    • ภาษีการลงทุน การขายหุ้นที่มีกำไรอาจต้องเสียภาษี ทำให้ลดผลตอบแทนสุทธิ
  4. รายได้ไม่แน่นอน
    • การจ่ายเงินปันผล การจ่ายเงินปันผลขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท หากบริษัทไม่มีกำไร เงินปันผลก็อาจจะลดลงหรือไม่มีเลย
    • ความไม่แน่นอนของตลาด ความผันผวนของตลาดอาจส่งผลกระทบต่อรายได้จากการลงทุนในหุ้น

กองทุนรวม

ข้อดี

  1. การกระจายความเสี่ยง
    • การลงทุนในหลักทรัพย์หลายประเภท กองทุนรวมมีการลงทุนในหลักทรัพย์หลายประเภท ทำให้ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เดียว
    • การกระจายความเสี่ยงทางภูมิภาคและอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ช่วยกระจายความเสี่ยงไปยังภาคส่วนและภูมิภาคต่างๆ
  2. การบริหารจัดการโดยมืออาชีพ
    • ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอมืออาชีพ กองทุนรวมมีผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอที่มีความเชี่ยวชาญดูแลการลงทุน ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการตัดสินใจลงทุน
    • การวิจัยและการวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุนจะทำการวิจัยและวิเคราะห์ตลาดเพื่อเลือกหลักทรัพย์ที่ดีที่สุดสำหรับพอร์ตโฟลิโอ
  3. สะดวกและง่ายต่อการลงทุน
    • การลงทุนแบบง่ายๆ นักลงทุนไม่ต้องใช้เวลามากในการศึกษาและติดตามตลาด เนื่องจากมีผู้จัดการกองทุนดูแล
    • การเข้าถึงตลาด กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดที่อาจไม่มีโอกาสลงทุนด้วยตนเอง
  4. ได้รับเงินปันผลสม่ำเสมอ
    • การจ่ายเงินปันผล กองทุนรวมบางประเภทจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ทำให้มีรายได้ที่คงที่มากขึ้น
    • การลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้มักมีการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ

ข้อเสีย

  1. ค่าธรรมเนียมการจัดการ
    • ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ กองทุนรวมมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ ซึ่งอาจลดผลตอบแทนที่ได้รับ
    • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ กองทุนรวมอาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ และค่าใช้จ่ายการจัดการ
  2. ขาดการควบคุมการลงทุน
    • การตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน นักลงทุนไม่สามารถควบคุมการเลือกหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้ ต้องพึ่งพาการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน
    • การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนไม่มีสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนของกองทุน
  3. ผลตอบแทนต่ำกว่า
    • การกระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนจากกองทุนรวมอาจต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว เนื่องจากการกระจายความเสี่ยง
    • การจำกัดผลตอบแทน การลงทุนในกองทุนรวมอาจจำกัดโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในหุ้นเดี่ยวที่มีศักยภาพ
  4. การกระจายความเสี่ยงไม่ครบถ้วน
    • การลงทุนเฉพาะภาคส่วน บางกองทุนรวมอาจเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมหรือภูมิภาคเฉพาะ ทำให้ยังคงมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตลาดหรือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง
    • การกระจายความเสี่ยงไม่เพียงพอ การลงทุนในกองทุนรวมเดียวอาจไม่เพียงพอในการกระจายความเสี่ยง ทำให้นักลงทุนต้องพิจารณาลงทุนในกองทุนหลายๆ กองเพื่อกระจายความเสี่ยงอย่าง

หุ้น vs กองทุนรวม ลงทุนแบบไหนสร้าง Passive Income ได้ดีกว่า?

การเลือกการลงทุนระหว่างกองทุนรวมและหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น การยอมรับความเสี่ยง ความรู้ด้านการลงทุน เวลาที่มี และเป้าหมายทางการเงิน โดยแต่ละตัวเลือกมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน

ปัจจัย หุ้น กองทุนรวม
การยอมรับความเสี่ยง สูง ต่ำ
ความรู้ด้านการลงทุน เชิงลึก จำกัด
การมุ่งมั่นด้านเวลา มีเวลาเพียงพอ เวลาจำกัด
เป้าหมายทางการเงิน เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะยาว

การยอมรับความเสี่ยง

การยอมรับความเสี่ยงต่ำ : กองทุนรวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากมีการกระจายความเสี่ยง โดยการรวมเงินจากนักลงทุนจำนวนมากและลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุนในแต่ละสินทรัพย์

การยอมรับความเสี่ยงสูง : หุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงสูงและพร้อมที่จะเผชิญกับความผันผวนของตลาด การลงทุนในหุ้นแต่ละตัวอาจให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากเช่นกัน

ความรู้ด้านการลงทุน

ความรู้ที่จำกัด : กองทุนรวม ดีสำหรับผู้ที่มีความรู้จำกัด เนื่องจากมีการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ ผู้จัดการกองทุนจะดูแลการวิจัย การคัดเลือก และการติดตามการลงทุน ทำให้นักลงทุนที่มีประสบการณ์น้อยสามารถเข้าร่วมในตลาดได้ง่ายขึ้น

ความรู้เชิงลึก : หุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้เชิงลึกและสามารถทำการวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวได้ดี การลงทุนในหุ้นรายตัวช่วยให้สามารถปรับพอร์ตโฟลิโอให้สอดคล้องกับข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ส่วนตัว

การมุ่งมั่นด้านเวลา

เวลาจำกัด : กองทุนรวม เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัดในการวิจัยและติดตามการลงทุน เพราะการลงทุนในกองทุนรวมไม่ต้องใช้เวลามากในการติดตาม

เวลาเพียงพอ : หุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาและสนใจติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิด การซื้อขายและปรับพอร์ตโฟลิโอเป็นระยะสามารถนำไปสู่ผลกำไรที่สำคัญได้ แต่ต้องติดตามแนวโน้มตลาดและผลการดำเนินงานของบริษัท

เป้าหมายทางการเงิน

เป้าหมายระยะยาว : กองทุนรวม พอร์ตโฟลิโอของกองทุนรวมที่มีความหลากหลายสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงสำหรับเป้าหมายระยะยาว เช่น การเกษียณอายุ กองทุนรวมได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีการผสมผสานสินทรัพย์ที่สมดุลซึ่งสามารถเติบโตได้ตามกาลเวลา

เป้าหมายระยะสั้น: หุ้น หุ้นแต่ละตัวให้ผลกำไรที่รวดเร็วกว่า เหมาะสำหรับเป้าหมายระยะสั้นหรือกลยุทธ์การลงทุนเฉพาะ ศักยภาพในการปรับขึ้นของราคาหุ้นอาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินในเวลาสั้น แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงกว่า

ขอบเขตการลงทุน

การลงทุนระยะสั้น : หุ้น ความผันผวนของหุ้นอาจมีความเสี่ยงสำหรับการลงทุนระยะสั้น การผันผวนของตลาดอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ทำให้การได้รับผลตอบแทนที่เชื่อถือได้ในระยะสั้นเป็นเรื่องท้าทาย

การลงทุนระยะยาว : กองทุนรวมและหุ้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ทั้งกองทุนรวมและหุ้นสามารถเป็นการลงทุนระยะยาวที่ดี กองทุนรวมให้การกระจายความเสี่ยงและการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ ในขณะที่หุ้นให้ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูงผ่านการคัดเลือกเชิงกลยุทธ์และการเติบโตในระยะยาว

หุ้นกับกองทุนรวม เหมาะกับใคร ?

หุ้น

  1. นักลงทุนที่มีความรู้ การลงทุนในหุ้นต้องการความรู้และความเข้าใจในตลาดหุ้น, การวิเคราะห์ทางเทคนิค และปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
  2. ผู้ที่รับความเสี่ยงสูงได้ การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวม แต่ก็มีโอกาสในการทำกำไรสูงกว่าเช่นกัน
  3. ผู้ที่มีเวลาในการติดตามตลาด การซื้อขายหุ้นต้องการการติดตามข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างต่อเนื่อง

กองทุนรวม

  1. นักลงทุนมือใหม่ กองทุนรวมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนเพราะไม่ต้องมีความรู้และประสบการณ์มากมาย
  2. ผู้ที่ต้องการการกระจายความเสี่ยง กองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหลายหลักทรัพย์หรือตลาดต่างๆ
  3. ผู้ที่ไม่มีเวลาหรือความสามารถในการติดตามตลาด การลงทุนในกองทุนรวมไม่ต้องการการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผู้จัดการกองทุนดูแลพอร์ตโฟลิโอให้
  4. ผู้ที่ต้องการการลงทุนที่มีความสะดวกและง่าย กองทุนรวมสามารถลงทุนได้ง่ายและมีความสะดวกในการซื้อขาย

สรุป

การพิจารณาว่าหุ้นหรือกองทุนรวมสามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้ดีกว่าขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการลงทุนของแต่ละคน หุ้นสามารถให้ผลตอบแทนสูงจากเงินปันผลและการเพิ่มค่าของหุ้น แต่ต้องการความรู้และการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด และมีความเสี่ยงสูง

กองทุนรวมมีการกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการโดยมืออาชีพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอโดยไม่ต้องมีความรู้และเวลา กองทุนรวมบางประเภทจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงต่ำกว่า การเลือกลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมควรพิจารณาตามเป้าหมายการลงทุน ความสามารถในการรับความเสี่ยง และความพร้อมในการจัดการการลงทุนของแต่ละคน

https://www.forbes.com/advisor/in/investing/stocks-vs-mutual-funds-whats-the-difference/#:~:text=Are%20mutual%20funds%20better%20than,steady%20returns%20with%20less%20involvement.

https://money.usnews.com/investing/articles/mutual-funds-vs-stocks-which-are-better-investments

https://www.bankrate.com/investing/stocks-vs-mutual-funds/#which-is-a-better-investment

https://cleartax.in/s/stocks-vs-mutual-funds

https://www.bmo.com/main/personal/investments/learning-centre/mutual-funds-vs-stocks/

https://smartasset.com/investing/mutual-funds-vs-stocks

https://www.investopedia.com/terms/s/stock.asp

https://www.investopedia.com/terms/m/mutualfund.asp

https://www.schwab.com/stocks/understand-stocks

https://www.forbes.com/advisor/investing/what-are-stocks/

https://www.schwab.com/mutual-funds/understand-mutual-funds